ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีช่างทำกระจกชื่อสัจจา เขามีชื่อเสียงในการสร้างกระจกที่สะท้อนภาพได้ชัดเจนที่สุด ผู้คนต่างพากันมาขอให้เขาทำกระจกให้ ด้วยความเชื่อว่ากระจกของเขาจะช่วยให้พวกเขาเห็นตัวเองได้อย่างแท้จริง
วันหนึ่ง มีชายหนุ่มชื่อ”มายา”มาขอให้สัจจาทำกระจกให้ มายาเป็นคนที่ชอบสร้างภาพลวงตา หลอกตัวเองและผู้อื่นมาตลอด เขาคิดว่ากระจกวิเศษของสัจจาจะช่วยให้เขาสร้างภาพลวงได้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
สัจจามองมายาด้วยความเห็นใจ และกล่าวว่า “กระจกของฉันไม่ได้สร้างภาพลวง แต่มันจะสะท้อนความจริงที่อยู่ในใจของเจ้า เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการเห็นมัน?”
มายาหัวเราะและตอบอย่างมั่นใจ “แน่นอน ฉันไม่กลัวความจริงใดๆ ทั้งสิ้น”
สัจจาจึงเริ่มทำกระจกให้มายา ในขณะที่ทำงาน เขาเล่าเรื่องราวให้มายาฟัง
“เคยมีราชาองค์หนึ่งที่ชอบให้คนมาสรรเสริญเยินยอ วันหนึ่ง เขาสั่งให้ช่างทอผ้ามาทอเสื้อคลุมที่สวยที่สุดในโลก ช่างทอผ้าเจ้าเล่ห์คิดแผนหลอกราชา บอกว่าจะทอเสื้อคลุมวิเศษที่คนโง่จะมองไม่เห็น”
“ราชาตื่นเต้นมาก และเมื่อช่างทอผ้านำ ‘เสื้อคลุมที่มองไม่เห็น’ มาให้ ราชาก็แกล้งทำเป็นเห็นและสวมใส่ ไม่มีใครกล้าบอกความจริงว่าราชาไม่ได้สวมอะไรเลย จนกระทั่งเด็กน้อยคนหนึ่งร้องออกมาว่า ‘ราชาไม่ได้สวมเสื้อผ้า!'”
มายาฟังแล้วหัวเราะ “ช่างเป็นราชาและข้าราชบริพารที่โง่เขลาเสียจริง”
สัจจายิ้มเศร้าๆ “แต่เจ้ารู้ไหม บางครั้งเราทุกคนก็เป็นเหมือนราชาองค์นั้น เราสร้างภาพลวงขึ้นมาปกป้องตัวเอง และเชื่อในสิ่งที่เราอยากเชื่อ แม้มันจะไม่จริง”
ขณะที่พูด สัจจาก็ทำกระจกเสร็จ เขายื่นให้มายาพร้อมกับกล่าวว่า “นี่คือกระจกของเจ้า มันจะสะท้อนความจริงที่อยู่ในใจ ไม่ว่าเจ้าจะพร้อมเผชิญหรือไม่ก็ตาม”
มายารับกระจกมาอย่างมั่นใจ แต่เมื่อมองเข้าไป เขากลับเห็นภาพที่ทำให้ตกใจ เขาเห็นตัวเองกำลังสวมหน้ากากมากมาย แต่ละหน้ากากแสดงถึงการหลอกลวงที่เขาเคยทำ
เขาพยายามปัดป้องภาพนั้น แต่ยิ่งพยายามปฏิเสธ ภาพก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ในที่สุด มายาก็ทรุดลงร้องไห้
สัจจาวางมือบนบ่าของมายาอย่างอ่อนโยน “การเผชิญหน้ากับความจริงอาจเจ็บปวด แต่มันเป็นก้าวแรกสู่การเปลี่ยนแปลง เจ้าพร้อมจะเริ่มต้นใหม่หรือไม่?”
มายาเงยหน้าขึ้นมองสัจจา น้ำตายังคงไหลอาบแก้ม แต่ในดวงตามีประกายแห่งความหวัง “ผม…ผมพร้อมครับ แต่ผมไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหน”
สัจจายิ้มอย่างเมตตา “เริ่มจากการยอมรับความจริง ไม่ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหน จากนั้น ค่อยๆ แก้ไขทีละเรื่อง อย่าโกหกแม้เรื่องเล็กน้อย เพราะการโกหกเล็กๆ น้อยๆ จะนำไปสู่การโกหกที่ใหญ่ขึ้น”
“แต่ถ้าความจริงทำร้ายคนอื่นล่ะครับ?” มายาถาม
“ความจริงอาจทำให้เจ็บปวดในตอนแรก แต่การโกหกจะทำร้ายในระยะยาว” สัจจาตอบ “เราต้องเรียนรู้ที่จะพูดความจริงด้วยความเมตตา และยอมรับผลที่ตามมา นั่นคือความกล้าหาญที่แท้จริง”
มายาพยักหน้า เขารู้สึกเหมือนภาระหนักอึ้งถูกยกออกจากบ่า “ผมจะพยายามครับ แต่…ถ้าผมทำไม่ได้ล่ะ?”
สัจจาชี้ไปที่กระจก “กระจกนี้จะอยู่กับเจ้า คอยเตือนใจให้เจ้าซื่อสัตย์กับตัวเอง เมื่อใดที่เจ้ารู้สึกหลงทาง จงมองเข้าไปในกระจก มันจะช่วยให้เจ้าเห็นหนทางกลับสู่ความจริง”
มายาลุกขึ้นยืน กอดกระจกไว้แนบอก เขารู้สึกถึงพลังบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ พลังแห่งความจริงและความกล้าหาญ
“ขอบคุณครับ” มายากล่าว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “ผมจะไม่มีวันลืมบทเรียนนี้”
สัจจายิ้ม “จงจำไว้ มายา ความจริงไม่เพียงแต่ปลดปล่อยเราจากพันธนาการแห่งการหลอกลวง แต่มันยังนำพาเราไปสู่อิสรภาพที่แท้จริง เมื่อเราซื่อสัตย์กับตัวเองและผู้อื่น เราจะพบสันติสุขที่ไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้”
มายาออกจากบ้านของสัจจาพร้อมกับกระจกและหัวใจที่เบาสบาย เขารู้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะไม่ง่าย แต่เขาพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความจริง ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไร
และทุกครั้งที่เขารู้สึกท้อแท้หรือหวั่นไหว เขาจะนึกถึงคำพูดของสัจจา “จงดำรงอยู่ในสัจจะ เหมือนกระจกที่สะท้อนความจริงโดยไม่บิดเบือน แล้วคุณจะพบว่า ยิ่งซื่อสัตย์ต่อความจริง จิตใจก็ยิ่งสงบและเป็นอิสระ”