เมื่อความจริงถูกบิดเบือน และความคิดถูกควบคุม อาหารกลายเป็นโซ่ตรวนที่ล่ามมนุษยชาติไว้กับอำนาจที่มองไม่เห็น ความหลากหลายถูกลบเลือน เหลือเพียงความเป็นหนึ่งเดียวที่ว่างเปล่า และมนุษย์ถูกออกแบบให้เป็นเพียงฟันเฟืองในเครื่องจักรแห่งการควบคุม
แต่ในความมืดมิดนี้ ยังมีประกายของความเป็นมนุษย์ที่ไม่ยอมดับสูญ เสียงกระซิบของการกบฏที่แผ่วเบา แต่ทรงพลัง และเมล็ดพันธุ์แห่งอิสรภาพที่รอวันผลิบาน
นี่คือเรื่องราวของการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ไม่ใช่เพื่อชัยชนะ แต่เพื่อสิทธิในการเลือก สิทธิในการคิด และสิทธิในการเป็นมนุษย์ ในโลกที่ความเป็นมนุษย์กำลังสูญหาย
จงเลือกเถิด ระหว่างความสะดวกสบายของการยอมจำนน หรือความยากลำบากของการยืนหยัดเพื่ออิสรภาพ เพราะในที่สุดแล้ว นิยามของมนุษย์ อยู่ที่ความกล้าในการเลือกชะตากรรมของตนเอง
บทที่ 1: ฟาร์มแห่งอนาคต
แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกของหอคอยควบคุม ทอประกายวาววับบนทุ่งดอกทานตะวันสีทองที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ไอริสยืนนิ่ง จ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันระหว่างความภาคภูมิใจและความหวาดหวั่นที่เธอไม่อาจอธิบายได้
ดอกทานตะวันเหล่านั้น สูงเท่าตึกสามชั้น ก้านของมันหนาและแข็งแรงราวกับเสาคอนกรีต ใบดอกขนาดมหึมาหันเข้าหาดวงอาทิตย์พร้อมเพรียงกันราวกับทหารที่เข้าแถวรับการตรวจพล นี่คือผลงานของเธอ—พืชที่ถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อทุกสภาพอากาศ ให้ผลผลิตมากกว่าพืชดั้งเดิมถึงสิบเท่า และไม่ต้องการการดูแลมากนัก
“นี่คือคำตอบของปัญหาความอดอยากทั่วโลก” เธอพึมพำกับตัวเอง คำพูดที่ถูกย้ำเตือนในทุกการประชุม ทุกการนำเสนอ และทุกโฆษณาของ NeoBio
แต่ในขณะที่สายตาของเธอกวาดมองไปทางขวา ความรู้สึกไม่สบายใจก็แล่นขึ้นมาในอก โรงเรือนปศุสัตว์ขนาดมหึมาตั้งตระหง่านอยู่ ผนังคอนกรีตสีเทาทึบตันราวกับคุก เสียงร้องของสัตว์ดังแว่วมา แม้จะถูกกลบด้วยเสียงเครื่องจักรและระบบระบายอากาศ
ไอริสก้าวเข้าไปในลิฟต์ กดปุ่มลงไปยังชั้นล่างสุด เธอต้องการเห็นมันด้วยตาตัวเอง ต้องการสัมผัสกับความสำเร็จที่เธอมีส่วนร่วมสร้าง ประตูลิฟต์เปิดออก เธอก้าวเท้าลงบนพื้นคอนกรีตเย็นเฉียบ กลิ่นของสารเคมีและมูลสัตว์โชยมาปะทะจมูก
เธอเดินผ่านแถวของคอกวัว แต่ละตัวถูกแยกออกจากกันด้วยซี่เหล็ก ไม่มีพื้นที่ให้เคลื่อนไหว มีเพียงท่อให้อาหารและน้ำที่ยื่นลงมาจากเพดาน วัวเหล่านั้นมีขนาดใหญ่ผิดธรรมชาติ กล้ามเนื้อปูดโปนจนดูน่าขนลุก ดวงตาของพวกมันเหม่อลอย ไร้ซึ่งประกายแห่งชีวิต
“นี่คือความก้าวหน้า” เสียงของหัวหน้าโครงการดังขึ้นข้างหลังเธอ “เราสามารถผลิตเนื้อได้มากกว่าเดิมถึงยี่สิบเท่า ด้วยพื้นที่และทรัพยากรเท่าเดิม นี่คือวิธีที่เราจะเลี้ยงประชากรเจ็ดพันล้านคนบนโลกใบนี้”
ไอริสพยักหน้า แต่คำถามผุดขึ้นในใจ—ที่นี่คือฟาร์มหรือโรงงาน? เราสร้างอาหารหรือเราสร้างเครื่องจักรชีวภาพ? และอะไรคือราคาที่เราต้องจ่ายสำหรับความก้าวหน้านี้?
เธอนึกถึงคำพูดของปู่ที่เคยเล่าให้ฟังตอนเด็ก เกี่ยวกับฟาร์มในอดีต ทุ่งหญ้าสีเขียวที่วัวได้เดินเล่นอย่างอิสระ เสียงร้องของไก่ยามเช้า และกลิ่นหอมของดินหลังฝนตก ภาพเหล่านั้นดูเหมือนนิทานในตอนนี้ เป็นโลกที่ไม่มีอยู่จริงอีกต่อไป
เสียงเครื่องจักรดังกึกก้อง วัวตัวหนึ่งถูกลำเลียงเข้าสู่ห้องถัดไป ไอริสรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้น แต่เธอเลือกที่จะไม่คิดถึงมัน เธอบอกตัวเองว่านี่คือความจำเป็น นี่คือวิธีที่จะช่วยให้โลกรอดพ้นจากความอดอยาก
แต่ส่วนลึกในใจของเธอ มีเสียงกระซิบบางอย่าง—เสียงที่บอกว่าบางทีเราอาจจะกำลังสูญเสียบางสิ่งที่สำคัญไป บางสิ่งที่มากกว่าแค่วิถีชีวิตเก่าๆ บางทีเราอาจกำลังสูญเสียความเป็นมนุษย์ของเราเอง
ไอริสสูดหายใจลึก พยายามกลั้นความรู้สึกสับสนเอาไว้ เธอเป็นนักวิทยาศาสตร์ เธอต้องมองโลกด้วยเหตุและผล ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ความรู้สึก แต่ขณะที่เธอเดินกลับสู่ลิฟต์ เสียงร้องของวัวยังคงก้องอยู่ในหู ราวกับเสียงร่ำไห้ของธรรมชาติที่กำลังถูกทรยศ
ประตูลิฟต์ปิดลง พาเธอกลับขึ้นสู่หอคอยควบคุม กลับสู่โลกที่เธอคุ้นเคย โลกของตัวเลขและกราฟ โลกที่ทุกอย่างดูเรียบง่ายและมีเหตุผล แต่คำถามยังคงค้างคาในใจ—เราก้าวหน้าขึ้นจริงหรือ หรือเรากำลังถอยหลังลงคลองโดยไม่รู้ตัว?
และที่สำคัญที่สุด ถ้าเราสามารถทำเช่นนี้กับพืชและสัตว์ได้ อะไรจะเป็นขีดจำกัดที่เราจะไม่ก้าวข้าม? วันหนึ่ง เราจะทำเช่นนี้กับมนุษย์ด้วยกันเองหรือไม่?
คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวของไอริส ขณะที่เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นดอกทานตะวันยักษ์โบกไหวในสายลม เหมือนกองทัพที่รอคำสั่งจากผู้นำที่มองไม่เห็น
บทที่ 2: เสียงกระซิบในความมืด
ความมืดโอบล้อมตึก NeoBio ราวกับผ้าห่มสีดำ มีเพียงแสงไฟสลัวจากหน้าต่างบานเล็กๆ ที่ส่องออกมาเป็นจุดๆ ไอริสนั่งอยู่ในห้องทำงานของเธอ ดวงตาจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ฉายภาพกราฟและตัวเลขมากมาย แต่ความคิดของเธอล่องลอยไปไกล
เสียงร้องของวัวในโรงเรือนยังคงก้องอยู่ในหูของเธอ แม้จะผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม มันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน เสียงที่ไม่ควรจะมีอยู่ในโลกที่เจริญก้าวหน้าเช่นนี้ ไอริสส่ายหน้า พยายามขับไล่ความคิดเหล่านั้นออกไป
“เรากำลังช่วยโลก” เธอพึมพำกับตัวเอง “เรากำลังแก้ปัญหาความอดอยาก”
แต่ส่วนลึกในใจของเธอ มีเสียงกระซิบบางอย่าง—เสียงที่บอกว่าอาจมีบางอย่างผิดพลาด บางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล
เสียงดังกุกกักจากห้องทดลองที่อยู่ถัดไปดึงความสนใจของไอริส เธอชะงัก นั่นไม่ใช่เสียงที่ควรจะมีในเวลานี้ ทุกคนควรกลับบ้านไปแล้ว ด้วยความระแวง เธอลุกขึ้นและย่องไปที่ประตู
เมื่อเปิดประตูออก เธอเห็นชายคนหนึ่งกำลังก้มอยู่ที่ตู้เก็บตัวอย่าง มือของเขากำลังคว้าหลอดทดลองและเอกสารอย่างรวดเร็ว ไอริสรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบ
“คุณกำลังทำอะไร?” เธอถามเสียงสั่น
ชายคนนั้นสะดุ้ง หันมามองเธอด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก แต่แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่น
“คุณต้องฟังผม” เขาพูดอย่างรวดเร็ว “ผมชื่อเซบาสเตียน ผมเคยทำงานที่นี่ ก่อนที่พวกเขาจะ…” เขาหยุดพูด มองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง “มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ทั้งหมดนี้ มันเป็นแผนการที่ใหญ่กว่าที่คุณจินตนาการ”
ไอริสยืนนิ่ง สับสนและตกใจ ส่วนหนึ่งของเธออยากจะกดปุ่มแจ้งเตือนรักษาความปลอดภัย แต่อีกส่วนหนึ่งกลับสงสัยใคร่รู้
“คุณกำลังพูดถึงอะไร?” เธอถาม เสียงของเธอแผ่วเบาแทบจะเป็นเสียงกระซิบ
เซบาสเตียนก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาของเขาฉายแววของความกลัวและความมุ่งมั่นในเวลาเดียวกัน
“พวกเขาไม่ได้แค่ควบคุมอาหาร” เขาพูดอย่างเร่งรีบ “พวกเขากำลังควบคุมทุกอย่าง ทั้งพืช สัตว์ และ…” เขาหยุดชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “และมนุษย์”
ไอริสรู้สึกเหมือนมีคลื่นเย็นๆ แล่นผ่านร่างของเธอ “นั่นเป็นไปไม่ได้” เธอพูด แต่น้ำเสียงของเธอไม่มั่นใจเท่าที่ควรจะเป็น
“มันเป็นไปได้” เซบาสเตียนยืนยัน “และมันกำลังเกิดขึ้นแล้ว คุณไม่สงสัยเลยหรือ? ทำไมพืชและสัตว์ถึงต้องพึ่งพาสารเคมีของ NeoBio มากขนาดนั้น? ทำไมพวกเขาถึงพยายามกำจัดพันธุ์พืชและสัตว์ดั้งเดิม? และล่าสุด…” เขาหยุดพูด สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “พวกเขากำลังทดลองกับมนุษย์”
ไอริสรู้สึกเหมือนโลกรอบตัวเธอหมุนคว้าง คำพูดของเซบาสเตียนฟังดูเหลือเชื่อ แต่มันกลับสอดคล้องกับความสงสัยที่เธอพยายามเก็บกดเอาไว้มาตลอด
“ฉันจะเชื่อคุณได้ยังไง?” เธอถาม เสียงสั่นเครือ
เซบาสเตียนยื่นแฟ้มเอกสารให้เธอ “ดูนี่สิ” เขาพูด “นี่เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของหลักฐานทั้งหมด แต่มันก็มากพอที่จะทำให้คุณเริ่มตั้งคำถาม”
ไอริสรับแฟ้มมาด้วยมือที่สั่นเทา เปิดดูเอกสารข้างใน ยิ่งอ่าน เธอยิ่งรู้สึกหนาวเย็น ข้อมูลในนั้นไม่เพียงแต่ยืนยันสิ่งที่เซบาสเตียนพูด แต่ยังเปิดเผยถึงแผนการที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น
“นี่… นี่มันเป็นไปไม่ได้” เธอพึมพำ แต่ในใจลึกๆ เธอรู้ว่ามันเป็นไปได้ และมันกำลังเกิดขึ้นจริงๆ
เสียงฝีเท้าดังมาจากระเบียงทางเดิน เซบาสเตียนมองไปที่ประตูด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ผมต้องไปแล้ว” เขาพูดอย่างรวดเร็ว “แต่เราต้องคุยกันอีก มีอะไรอีกมากมายที่คุณต้องรู้ เราอาจจะเป็นความหวังสุดท้ายที่จะหยุดยั้งสิ่งนี้ได้”
ก่อนที่ไอริสจะทันได้ตอบอะไร เซบาสเตียนก็วิ่งออกไปทางประตูหลัง หายเข้าไปในความมืด ทิ้งให้เธอยืนอยู่คนเดียวในห้องทดลอง มือยังคงกำแฟ้มเอกสารแน่น
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ไอริสรีบซ่อนแฟ้มเอกสารไว้ใต้เสื้อ หัวใจของเธอเต้นรัว ความคิดของเธอสับสนวุ่นวาย เธอรู้ว่าชีวิตของเธอจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
ขณะที่เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงไฟของเมืองที่ทอดยาวไปสุดขอบฟ้า เธอไม่อาจไม่สงสัยว่า—ในบรรดาผู้คนหลายล้านคนเหล่านั้น มีกี่คนที่รู้ความจริง? และมีกี่คนที่กำลังตกเป็นเหยื่อของแผนการอันน่าสะพรึงกลัวนี้โดยไม่รู้ตัว?
ไอริสสูดหายใจลึก รู้ดีว่าเธอกำลังยืนอยู่ ณ จุดเปลี่ยนที่สำคัญ เธอมีทางเลือก—จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและดำเนินชีวิตต่อไปเหมือนเดิม หรือจะเสี่ยงทุกอย่างเพื่อค้นหาความจริงและต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง
เสียงฝีเท้าหยุดลงที่หน้าประตู ไอริสหันไปมอง เธอรู้ว่าไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่หลังประตูนั้น อาจจะเปลี่ยนชะตาชีวิตของเธอตลอดกาล
บทที่ 3: รากเหง้าแห่งการหลอกลวง
ไอริสเดินอย่างระมัดระวังลงบันไดที่ทอดยาวลึกลงไปใต้ดิน แสงจากหน้าจอสมาร์ทวอทช์ของเธอเป็นเพียงแสงสว่างเดียวที่นำทาง เสียงหัวใจที่เต้นรัวดังก้องในหูของเธอ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
สองสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของเธอ หลังจากการเผชิญหน้ากับเซบาสเตียนในคืนนั้น เธอต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง แสร้งทำเป็นว่าทุกอย่างเป็นปกติ ในขณะที่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยคำถามและความสงสัย
การติดต่อกับเซบาสเตียนเป็นไปอย่างยากลำบาก พวกเขาต้องใช้รหัสลับและช่องทางการสื่อสารที่ซับซ้อนเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ และในที่สุด วันนี้ก็มาถึง – วันที่พวกเขาจะได้พบกันอีกครั้งเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลที่พวกเขาต่างฝ่ายต่างรวบรวมมา
เมื่อถึงปลายบันได ไอริสพบตัวเองอยู่ในห้องใต้ดินที่มืดสลัว เธอกวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง เห็นเงาร่างของใครบางคนในมุมห้อง
“เซบาสเตียน?” เธอกระซิบ
“ไอริส” เสียงตอบกลับมา “ดีใจที่คุณมาได้”
แสงนีออนสีฟ้าอ่อนค่อยๆ สว่างขึ้น เผยให้เห็นห้องที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และจอภาพ แสงสีฟ้าให้ความรู้สึกเย็นชาและไร้ชีวิตชีวา สะท้อนให้เห็นถึงโลกอนาคตที่ไร้ซึ่งความอบอุ่นของธรรมชาติ
เซบาสเตียนยืนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ใบหน้าของเขาดูอ่อนล้าแต่ยังคงเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น “มาดูสิ่งที่ผมค้นพบนี่สิ” เขาพูดพลางชี้ไปที่หน้าจอ
ไอริสเดินเข้าไปใกล้ ดวงตาของเธอกวาดมองข้อมูลบนหน้าจอ และทันใดนั้น ความรู้สึกราวกับถูกแช่แข็งก็แล่นผ่านร่างของเธอ ความหวาดกลัวและความตระหนกเข้าครอบงำจิตใจ ราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังพังทลายลงตรงหน้าเธอ
“นี่มัน…” เธอพูดเสียงสั่น “นี่มันเป็นไปไม่ได้”
“แต่มันเป็นความจริง” เซบาสเตียนตอบ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขมขื่น “NeoBio ไม่ได้แค่ควบคุมอาหาร พวกเขากำลังพยายามควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึงตัวเราด้วย”
ไอริสอ่านข้อมูลต่อไป ทุกบรรทัดทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังจมดิ่งลงในห้วงแห่งความมืดมิด การค้นพบนี้ไม่เพียงแต่ทำลายทุกสิ่งที่เธอเคยเชื่อ แต่ยังเปิดเผยให้เห็นถึงอนาคตที่น่าสะพรึงกลัว
“พวกเขา… พวกเขากำลังสร้างโลกที่ทุกสิ่งถูกควบคุม” ไอริสพูดเสียงแผ่ว “ทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์”
เซบาสเตียนพยักหน้า “และนั่นยังไม่ใช่ส่วนที่แย่ที่สุด” เขาพูดพลางเปิดไฟล์อีกชุดหนึ่ง “ดูนี่สิ”
ไอริสมองไปที่หน้าจอ และรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน บนหน้าจอคือแผนการทดลองกับมนุษย์ การปรับแต่งพันธุกรรมเพื่อ “เพิ่มประสิทธิภาพ” แต่ในความเป็นจริงคือการทำให้มนุษย์อ่อนแอลงและต้องพึ่งพา “ยาบำรุง” จาก NeoBio
ความรู้สึกหลายอย่างถาโถมเข้าใส่ไอริสพร้อมกัน – ความโกรธ ความกลัว ความสิ้นหวัง และความละอายใจ เธอรู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในความฝันร้ายที่ไม่มีทางตื่น
“เราต้องหยุดพวกเขา” เธอพูดในที่สุด น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวแม้จะยังสั่นเครือ
เซบาสเตียนมองเธอด้วยความประหลาดใจ “คุณแน่ใจเหรอ? นี่จะเป็นเรื่องอันตรายนะ NeoBio มีอิทธิพลมาก พวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อปกปิดความลับนี้”
ไอริสพยักหน้า “ฉันแน่ใจ” เธอตอบ “ฉันใช้เวลาทั้งชีวิตเชื่อว่าตัวเองกำลังช่วยโลก แต่ความจริงกลับเป็นว่าฉันกำลังทำร้ายมัน ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด”
ขณะที่พวกเขาเริ่มวางแผนต่อสู้กับ NeoBio แสงอรุณเริ่มสาดส่องเข้ามาทางช่องเล็กๆ บนเพดานห้องใต้ดิน เป็นสัญญาณของวันใหม่ที่กำลังจะมาถึง และสำหรับไอริส มันเป็นสัญญาณของการต่อสู้ครั้งใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น – การต่อสู้เพื่อโลกที่เป็นอิสระและเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง
บทที่ 4: โลกที่แตกสลาย
แสงสีเขียวอ่อนจากจอมอนิเตอร์สะท้อนบนใบหน้าของไอริส เธอนั่งอยู่ในห้องควบคุมหลักของ NeoBio สายตาจับจ้องที่ข้อมูลที่ไหลผ่านหน้าจอราวกับสายธารแห่งตัวเลขและสัญลักษณ์ แต่จิตใจของเธอกลับล่องลอยไปไกล
สามเดือนผ่านไปนับตั้งแต่การค้นพบอันน่าสะพรึงกลัวในห้องใต้ดินกับเซบาสเตียน สามเดือนที่เธอต้องสวมหน้ากากแห่งความเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ทุ่มเทของ NeoBio ในขณะที่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความขัดแย้งและความกลัว
ภาพของความเสียหายปรากฏชัดขึ้นทุกวัน—ระบบนิเวศถูกทำลาย ดินเสื่อมโทรม สัตว์ป่าลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย ในขณะที่ปศุสัตว์ในโรงเรือนมีชีวิตที่ทรมาน ทุกครั้งที่ไอริสมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอเห็นแต่ทุ่งหญ้าสีน้ำตาลแห้งเหี่ยวและท้องฟ้าสีเทาที่ปกคลุมไปด้วยมลพิษ
เสียงประตูเลื่อนเปิดดึงไอริสกลับสู่ความเป็นจริง ดร.อเล็กซ์ เกรย์ ผู้อำนวยการโครงการ เดินเข้ามาในห้อง รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขา
“ไอริส คุณทำงานหนักเกินไปแล้วนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นห่วง แต่ไอริสรู้ดีว่ามันเป็นเพียงการแสดง “ผมมีข่าวดีมาบอก โครงการ ‘ฟีนิกซ์’ ของเราประสบความสำเร็จแล้ว”
หัวใจของไอริสเต้นแรง เธอรู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆ กดทับอยู่ในอก เธอรู้ดีว่า ‘โครงการฟีนิกซ์’ คืออะไร – มันคือชื่อรหัสสำหรับการทดลองปรับแต่งพันธุกรรมมนุษย์
“จริงเหรอคะ?” เธอถามพลางพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น “นั่นเป็นข่าวดีมากเลยค่ะ”
ดร.เกรย์พยักหน้า ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความภาคภูมิใจ “ใช่ เรากำลังจะเข้าสู่ยุคใหม่ของมนุษยชาติ ยุคที่เราสามารถควบคุมวิวัฒนาการของเราเองได้”
ไอริสพยายามรักษาท่าทีปกติไว้ “แล้วเมื่อไหร่เราจะเริ่มนำไปใช้กับประชากรทั่วไปคะ?”
“เร็วๆ นี้” ดร.เกรย์ตอบ “เราจะเริ่มจากการแนะนำวัคซีนตัวใหม่ของเรา ประชาชนจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังเปลี่ยนแปลง”
ไอริสพยักหน้า พยายามไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา “ฉันขอไปดูผลการทดลองได้ไหมคะ? อยากจะศึกษามันให้ละเอียด”
“แน่นอน” ดร.เกรย์ตอบพร้อมรอยยิ้ม “ผมรู้ว่าคุณเป็นคนทุ่มเทกับงาน นั่นแหละคือเหตุผลที่ผมเลือกคุณมาร่วมโครงการนี้”
เมื่อดร.เกรย์ออกจากห้องไป ไอริสรีบติดต่อเซบาสเตียนผ่านรหัสลับที่พวกเขาใช้สื่อสารกัน “มันเริ่มแล้ว” เธอส่งข้อความสั้นๆ
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ในห้องใต้ดินที่พวกเขาใช้เป็นฐานลับ ไอริสและเซบาสเตียนกำลังวิเคราะห์ข้อมูลที่เธอขโมยมาจาก NeoBio
“นี่มันแย่กว่าที่เราคิดอีก” เซบาสเตียนพูดเสียงสั่น “พวกเขาไม่ได้แค่ทำให้คนอ่อนแอลง แต่ยังเพิ่มความสามารถในการควบคุมอารมณ์และความคิดด้วย”
ไอริสพยักหน้า รู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว “พวกเขากำลังสร้างมนุษย์ที่ว่านอนสอนง่าย ที่จะไม่ตั้งคำถามหรือต่อต้าน”
“แล้วเราจะทำยังไงดี?” เซบาสเตียนถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล “เราไม่มีทางหยุดบริษัทใหญ่ขนาดนี้ได้”
ไอริสเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยว “เราอาจจะไม่สามารถหยุดพวกเขาได้ทันที แต่เราสามารถต่อสู้กับพวกเขาได้ เราต้องเผยแพร่ความจริงนี้ออกไป และหาทางย้อนกลับผลของการทดลองนี้”
“แต่มันอันตรายนะ” เซบาสเตียนเตือน “NeoBio จะไม่ยอมให้เราทำลายแผนการของพวกเขาง่ายๆ”
“ฉันรู้” ไอริสตอบ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย โลกทั้งใบก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา เราต้องพยายาม แม้ว่ามันจะเสี่ยงก็ตาม”
ขณะที่พวกเขาเริ่มวางแผนการต่อสู้ของตน เสียงแจ้งเตือนจากอุปกรณ์สื่อสารของทั้งคู่ดังขึ้นพร้อมกัน
“วันนี้ บริษัท NeoBio ได้เปิดตัววัคซีนตัวใหม่ที่อ้างว่าจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและสุขภาพโดยรวมของผู้รับ…” ข้อความปรากฏบนหน้าจอ
ไอริสและเซบาสเตียนมองหน้ากัน รู้ดีว่านี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การต่อสู้ของพวกเขาเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น และพวกเขารู้ว่ามันจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากและอันตราย
แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็รู้ว่านี่คือการต่อสู้ที่จำเป็น – การต่อสู้เพื่ออนาคตของมนุษยชาติ เพื่อเสรีภาพในการเลือก และเพื่อโลกที่ยังคงมีความหลากหลายและเป็นธรรมชาติ
ไอริสมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องใต้ดิน เห็นท้องฟ้าสีเทาที่ปกคลุมไปด้วยมลพิษ และนึกถึงโลกที่เธอหวังว่าจะได้เห็นอีกครั้ง – โลกที่มีท้องฟ้าสีคราม ต้นไม้สีเขียว และผู้คนที่มีอิสระในการคิดและเลือก
“เราจะทำมันให้ได้” เธอพึมพำกับตัวเอง “เราต้องทำให้ได้”
บทที่ 5: เมล็ดพันธุ์แห่งการปฏิวัติ
ความมืดโอบล้อมไอริสขณะที่เธอเดินลัดเลาะตามตรอกแคบในเขตชานเมืองที่ถูกทอดทิ้ง เสียงฝีเท้าของเธอสะท้อนก้องบนพื้นคอนกรีตแตกร้าว สะท้อนให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมของเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเฟื่องฟู แต่บัดนี้กลับถูกทิ้งร้างให้เน่าเปื่อยภายใต้การปกครองของ NeoBio
เธอหยุดหน้าประตูเหล็กสนิมเขรอะ ก่อนจะเคาะสามครั้งตามรหัสที่ตกลงกันไว้ ประตูเปิดออกเล็กน้อย เผยให้เห็นใบหน้าที่ระแวดระวังของชายชราคนหนึ่ง
“รหัสผ่าน?” เขาถามเสียงแผ่ว
“อิสรภาพคือการเป็นทาสให้กับธรรมชาติ ไม่ใช่เทคโนโลยี” ไอริสตอบ
ประตูเปิดกว้างขึ้น เผยให้เห็นทางเดินแคบที่นำไปสู่ห้องใต้ดิน เมื่อไอริสก้าวเข้าไป เธอพบว่าตัวเองอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลาย – ทั้งเกษตรกร นักวิทยาศาสตร์ และพลเมืองธรรมดาที่ตื่นรู้ถึงความจริงอันน่าสะพรึงกลัว พวกเขาคือกลุ่มต่อต้านลับที่เธอและเซบาสเตียนรวบรวมมาได้ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา
เซบาสเตียนยืนอยู่ที่หัวโต๊ะ กำลังอธิบายแผนการของพวกเขา “เราต้องเริ่มจากการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ” เขาพูด “NeoBio พยายามทำลายมันเพื่อควบคุมห่วงโซ่อาหาร แต่นั่นคือจุดอ่อนของพวกเขา ถ้าเราสามารถนำพันธุ์พืชและสัตว์ดั้งเดิมกลับมาได้ เราจะทำลายการผูกขาดของพวกเขา”
ไอริสก้าวเข้าไปร่วมวง “และเราต้องหยุดการแพร่กระจายของวัคซีนด้วย” เธอเสริม “มันไม่ใช่แค่การควบคุมร่างกาย แต่เป็นการควบคุมจิตใจด้วย พวกเขากำลังพยายามสร้างสังคมที่ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีการตั้งคำถาม”
“แต่ความขัดแย้งคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์” เสียงของหญิงชราคนหนึ่งดังขึ้น “มันคือที่มาของความคิดสร้างสรรค์ ของการพัฒนา ของอิสรภาพ”
ไอริสพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว NeoBio กำลังพยายามลบล้างธรรมชาติของมนุษย์ พวกเขาไม่ได้แค่ควบคุมอาหารและยา แต่กำลังพยายามควบคุมนิยามของความเป็นมนุษย์ด้วย”
ห้องเงียบลงชั่วขณะ ทุกคนดูเหมือนกำลังครุ่นคิดถึงน้ำหนักของคำพูดนั้น
“แล้วเราจะต่อสู้กับพวกเขาได้ยังไง?” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น “พวกเขามีทั้งเงิน อำนาจ และเทคโนโลยี”
เซบาสเตียนยิ้มบางๆ “ด้วยสิ่งที่พวกเขาคิดว่าไร้ค่า – ความหลากหลาย” เขาพูดพลางหยิบถุงผ้าเล็กๆ ออกมา เมื่อเขาเปิดมันออก ทุกคนเห็นเมล็ดพันธุ์หลากหลายชนิด “นี่คือเมล็ดพันธุ์ดั้งเดิมที่เรารวบรวมมาได้ พวกมันอาจจะดูเล็กและไม่สำคัญ แต่ในนี้มีพลังมหาศาล – พลังแห่งชีวิตที่แท้จริง ไม่ใช่ชีวิตที่ถูกออกแบบในห้องทดลอง”
ไอริสรู้สึกถึงความหวังที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ “และเรามีสิ่งที่ NeoBio ไม่มี” เธอเสริม “เรามีความเข้าใจในคุณค่าของความไม่สมบูรณ์แบบ ของความผันแปร ของการปรับตัว นั่นคือสิ่งที่ทำให้ธรรมชาติและมนุษยชาติอยู่รอดมาได้ตลอดหลายล้านปี”
“แต่มันจะเพียงพอหรือ?” เสียงสงสัยดังขึ้นจากมุมห้อง
ไอริสหันไปมองต้นกำเนิดของเสียงนั้น เห็นหญิงสาวที่ดูหวาดกลัวแต่ก็มีประกายของความกล้าหาญในดวงตา “มันอาจจะไม่เพียงพอ” เธอตอบอย่างจริงใจ “แต่มันคือจุดเริ่มต้น และบางครั้งนั่นก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การเริ่มต้นแม้ในยามที่ทุกอย่างดูเหมือนจะสิ้นหวัง”
เซบาสเตียนพยักหน้าเห็นด้วย “เราไม่ได้ต่อสู้เพื่อชัยชนะในวันพรุ่งนี้ แต่เราต่อสู้เพื่ออนาคตที่เราอาจจะไม่ได้เห็น เพื่อโลกที่ยังมีทางเลือก ยังมีเสรีภาพในการคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง”
ไอริสมองไปรอบๆ ห้อง เห็นความหวังและความกล้าหาญเริ่มก่อตัวขึ้นในดวงตาของทุกคน เธอรู้ว่าพวกเขากำลังเผชิญกับการต่อสู้ที่ยากลำบาก แต่เธอก็รู้ด้วยว่านี่คือการต่อสู้ที่คุ้มค่า
“เราจะเริ่มกันพรุ่งนี้” เธอประกาศ “เราจะแพร่กระจายเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ไปทั่วเมือง ปลูกมันในทุกซอกทุกมุมที่เป็นไปได้ และพร้อมๆ กันนั้น เราจะเผยแพร่ความจริงเกี่ยวกับ NeoBio และวัคซีนของพวกเขา”
ทุกคนในห้องพยักหน้าเห็นด้วย พลังแห่งความหวังและความมุ่งมั่นแผ่ซ่านไปทั่วห้อง
ขณะที่การประชุมสิ้นสุดลงและผู้คนทยอยจากไป ไอริสเดินไปที่หน้าต่างเล็กๆ ของห้องใต้ดิน มองออกไปยังท้องฟ้าสีเทาที่ปกคลุมไปด้วยมลพิษ เธอนึกถึงคำพูดของจอร์จ ออร์เวลล์ที่ว่า “ในยุคสมัยแห่งการหลอกลวงอันเป็นสากล การพูดความจริงคือการปฏิวัติ”
“และการปลูกต้นไม้ก็เป็นการปฏิวัติเช่นกัน” เธอพึมพำกับตัวเอง รู้สึกถึงน้ำหนักของเมล็ดพันธุ์ในมือ เมล็ดพันธุ์ที่อาจจะเป็นความหวังสุดท้ายของมนุษยชาติ
บทที่ 6: การเติบโตของความหวัง
รุ่งอรุณสาดแสงสีเทาอ่อนลงบนเมืองที่หลับใหล ไอริสยืนอยู่บนดาดฟ้าของตึกร้าง มองดูเมืองที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกควันบางๆ เธอสูดหายใจลึก สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมลพิษที่ผสมปนเปกับความชื้นในอากาศ
“มันเริ่มแล้ว” เซบาสเตียนพูดขึ้น ยืนอยู่ข้างๆ เธอ
ไอริสพยักหน้า มองไปยังจุดต่างๆ ในเมืองที่เธอรู้ว่าสมาชิกของกลุ่มต่อต้านกำลังลงมือปฏิบัติการ พวกเขากำลังหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งการกบฏ ทั้งในรูปแบบของพืชพันธุ์ดั้งเดิมและความจริงที่ถูกปิดบัง
“เธอคิดว่าเราจะสำเร็จไหม?” เซบาสเตียนถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ
ไอริสเงียบไปครู่หนึ่ง ครุ่นคิดถึงคำถามนั้น “ฉันไม่รู้” เธอตอบอย่างจริงใจ “แต่ฉันรู้ว่าเราต้องลอง ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย เราก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม”
เธอนึกถึงคำพูดของมากาเร็ต แอตวูด ที่ว่า “เราไม่ได้ต้องการที่จะทำให้โลกสมบูรณ์แบบ เราแค่ต้องการทำให้มันดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่” คำพูดนี้ให้กำลังใจเธอในยามที่รู้สึกท้อแท้
“แต่ NeoBio มีทุกอย่าง” เซบาสเตียนพูดต่อ “พวกเขามีเงิน มีอำนาจ มีเทคโนโลยี แล้วเรามีอะไร?”
ไอริสหันมามองเขา ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น “เรามีสิ่งที่พวกเขาไม่มี” เธอตอบ “เรามีความหลากหลาย เรามีความสามารถในการปรับตัว และที่สำคัญที่สุด เรามีความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง”
เธอชี้ไปยังเมืองเบื้องล่าง “ดูสิ ทุกอาคารในเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นมาเหมือนกันหมด มีประสิทธิภาพ แข็งแรง แต่ไร้จิตวิญญาณ เหมือนกับพืชและสัตว์ที่ NeoBio สร้างขึ้น พวกเขากำลังพยายามทำแบบเดียวกันกับมนุษย์”
เซบาสเตียนพยักหน้าเข้าใจ “แต่มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้เป็นแบบนั้น เราถูกสร้างมาให้แตกต่าง ให้คิด ให้รู้สึก ให้ตั้งคำถาม”
“ใช่แล้ว” ไอริสเสริม “และนั่นคือพลังของเรา NeoBio อาจจะควบคุมร่างกายของเราได้ แต่พวกเขาไม่มีทางควบคุมจิตวิญญาณของเราได้ ตราบใดที่ยังมีคนที่กล้าคิดต่าง กล้าฝัน เราก็ยังมีโอกาส”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน เสียงเตือนจากอุปกรณ์สื่อสารของทั้งคู่ดังขึ้น พวกเขารีบเปิดดูข้อความ
“มีการจับกุมที่เขต 7” เซบาสเตียนอ่านข้อความด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “พวกเขาจับได้ว่ามีการแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์”
ไอริสรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบ แต่เธอพยายามควบคุมสติ “เราต้องช่วยพวกเขา” เธอพูดอย่างเด็ดเดี่ยว
“แต่มันอันตรายนะ” เซบาสเตียนเตือน “ถ้าเราถูกจับ ทุกอย่างก็จบ”
ไอริสเงียบไปครู่หนึ่ง ครุ่นคิดถึงทางเลือกที่มี คำพูดของจอร์จ ออร์เวลล์ดังก้องขึ้นในใจเธออีกครั้ง “ในยุคสมัยแห่งการหลอกลวง การพูดความจริงคือการปฏิวัติ” และตอนนี้ เธอเข้าใจความหมายของมันอย่างถ่องแท้
“เราต้องไป” เธอตัดสินใจ “ไม่ใช่แค่เพื่อช่วยพวกเขา แต่เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเรายังมีความเป็นมนุษย์ ว่าเรายังสามารถเลือกที่จะช่วยเหลือกันได้ แม้จะเสี่ยงอันตราย”
เซบาสเตียนมองเธอด้วยความประหลาดใจ แต่แล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย “เธอพูดถูก นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการต่อต้าน NeoBio แต่เป็นเรื่องของการรักษาความเป็นมนุษย์ของเราเอง”
ขณะที่พวกเขาเตรียมตัวออกไปช่วยเหลือเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ไอริสมองไปที่ท้องฟ้าอีกครั้ง เห็นแสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องผ่านหมอกควัน เป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งความหวังที่กำลังเติบโต
เธอนึกถึงเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ที่พวกเขาหว่านลงไปทั่วเมือง ทั้งเมล็ดพันธุ์จริงๆ และเมล็ดพันธุ์แห่งความคิด เธอรู้ว่ามันอาจจะใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล แต่เธอก็เชื่อว่าวันหนึ่ง มันจะเติบโตและเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้
“เรากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง” เธอพูดกับตัวเอง “และนั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด”
ขณะที่พวกเขาก้าวลงจากดาดฟ้า มุ่งหน้าสู่การต่อสู้ครั้งใหม่ ไอริสรู้สึกถึงความกลัว แต่ก็รู้สึกถึงความหวังและความมุ่งมั่นที่เติบโตขึ้นในใจ เธอรู้ว่าตราบใดที่ยังมีคนที่กล้าฝัน กล้าต่อสู้ และกล้าที่จะเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง ก็ยังมีความหวังสำหรับโลกใบนี้
บทที่ 7: เสียงกระซิบแห่งเสรีภาพ
ความมืดโอบล้อมไอริสและเซบาสเตียนขณะที่พวกเขาเคลื่อนตัวอย่างระมัดระวังผ่านตรอกแคบในเขต 7 เสียงไซเรนดังแว่วมาจากไกลๆ สะท้อนให้เห็นถึงความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้น พวกเขารู้ดีว่าทุกย่างก้าวอาจนำพวกเขาเข้าใกล้อันตราย แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งได้
“ทางนี้” เซบาสเตียนกระซิบ นำทางพวกเขาไปยังประตูหลังของโกดังเก่า
เมื่อพวกเขาเข้าไปข้างใน ภาพที่เห็นทำให้หัวใจของไอริสเต้นแรง สมาชิกกลุ่มต่อต้านหลายคนถูกจับกุม นั่งอยู่บนพื้น มือถูกมัดไพล่หลัง เจ้าหน้าที่ NeoBio ในชุดสีดำยืนคุมอยู่โดยรอบ
“เราต้องทำอะไรสักอย่าง” ไอริสกระซิบ ความกลัวและความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ
เซบาสเตียนพยักหน้า “แต่เราต้องคิดให้รอบคอบ เราไม่สามารถใช้กำลังสู้กับพวกเขาได้”
ในขณะนั้นเอง ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวของไอริส เธอนึกถึงบทเรียนจากประวัติศาสตร์ การปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่มักไม่ได้เกิดจากกำลังอาวุธ แต่เกิดจากพลังของความคิดและจิตวิญญาณ
“ฉันมีแผน” เธอกระซิบ “แต่มันอันตราย และเราอาจจะไม่ได้กลับออกมา”
เซบาสเตียนมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ “บอกมา”
ไอริสอธิบายแผนการของเธออย่างรวดเร็ว เซบาสเตียนฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
ทันใดนั้น พวกเขาก็ก้าวออกมาจากที่ซ่อน เดินเข้าไปในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ NeoBio ทุกสายตาจับจ้องมาที่พวกเขา
“หยุดนะ!” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะโกน ปืนในมือชี้มาที่พวกเขา
ไอริสยกมือขึ้น แสดงท่าทีที่ไม่เป็นอันตราย “เราไม่ได้มาต่อสู้” เธอพูดเสียงดังฟังชัด “เรามาเพื่อบอกความจริง”
ไอริสสูดหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยปากพูด น้ำเสียงของเธอสั่นเครือด้วยอารมณ์ แต่แฝงไปด้วยความหนักแน่น “พวกคุณเคยถามตัวเองบ้างไหม ว่าทำไมต้องจับกุมคนที่แค่แจกจ่ายเมล็ดพันธุ์? ทำไม NeoBio ถึงกลัวพืชพันธุ์ดั้งเดิมขนาดนั้น?”
เธอมองไปรอบๆ ห้อง สบตากับเจ้าหน้าที่แต่ละคน “ลองนึกย้อนไปสิ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว โลกของเราเป็นอย่างไร? เรามีอาหารที่หลากหลาย มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แต่ตอนนี้ล่ะ? ดูรอบๆ ตัวคุณสิ ทุกอย่างเหมือนกันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร อาคารบ้านเรือน หรือแม้แต่… ผู้คน”
เซบาสเตียนก้าวเข้ามาเสริม “NeoBio ไม่ได้แค่ควบคุมอาหารและยา พวกเขากำลังพยายามควบคุมทุกแง่มุมของชีวิตเรา รวมถึงความคิดและจิตใจของเราด้วย”
เจ้าหน้าที่บางคนเริ่มสบตากัน สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
ไอริสเห็นโอกาส เธอก้าวเข้าไปใกล้ขึ้นอีก “คุณรู้ไหม ว่าวัคซีนที่ NeoBio กำลังจะแจกจ่ายนั้น มันไม่ใช่แค่วัคซีนธรรมดา? มันถูกออกแบบมาให้เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของเรา ทำให้เราอ่อนแอลง ต้องพึ่งพาผลิตภัณฑ์ของพวกเขาตลอดไป”
เสียงฮือฮาเริ่มดังขึ้นในหมู่เจ้าหน้าที่ บางคนเริ่มมองหน้ากันด้วยความตกใจ
“ผมไม่เชื่อ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะโกนขึ้น “พวกคุณโกหก!”
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมคุณไม่ลองตรวจสอบดูล่ะ?” เซบาสเตียนท้า “ไปดูในฐานข้อมูลลับของ NeoBio สิ ดูว่ามีโครงการชื่อ ‘ฟีนิกซ์’ หรือเปล่า แล้วคุณจะรู้ว่าเราพูดความจริง”
เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งชะงัก สีหน้าเปลี่ยนไป “คุณ… คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”
ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้อง ทุกคนหันไปมองเจ้าหน้าที่คนนั้น
ไอริสใช้โอกาสนี้พูดต่อ “เราไม่ได้ขอให้คุณทิ้งงาน หรือกบฏต่อ NeoBio ทันที เราแค่ขอให้คุณเปิดใจ ตั้งคำถาม มองดูโลกรอบตัว คิดถึงอนาคตของลูกหลานคุณ พวกเขาสมควรได้เติบโตในโลกที่ถูกควบคุมทุกอย่างแบบนี้หรือ?”
เจ้าหน้าที่หลายคนเริ่มมองหน้ากันด้วยความลังเล บางคนเริ่มลดอาวุธลงช้าๆ
“เราทุกคนมีทางเลือก” เซบาสเตียนพูดต่อ เสียงของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจ “และตอนนี้คือเวลาที่เราต้องเลือกว่าจะเป็นมนุษย์ที่คิดเองได้ หรือจะเป็นเพียงเครื่องจักรที่ทำตามคำสั่ง เราไม่ได้ขอให้คุณตัดสินใจตอนนี้ แต่เราขอให้คุณเริ่มตั้งคำถาม เริ่มสังเกต และเริ่มคิดด้วยตัวเอง”
ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยความครุ่นคิด ทุกคนดูเหมือนกำลังต่อสู้กับความคิดในใจตัวเอง
ในที่สุด เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็ก้าวออกมา เขาวางปืนลงช้าๆ “ผม… ผมอยากรู้ความจริง” เขาพูดเสียงสั่น “ถ้าสิ่งที่พวกคุณพูดเป็นความจริง เราต้องหยุดมัน”
คนอื่นๆ เริ่มทำตาม ทีละคน สองคน แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่เริ่มลังเลและวางอาวุธ เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่รู้เรื่องโครงการฟีนิกซ์ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “ผม… ผมจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้ละเอียด ถ้ามันเป็นความจริง…”
ไอริสและเซบาสเตียนมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจและความโล่งใจ พวกเขารู้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ เป็นรอยร้าวแรกในกำแพงแห่งการควบคุม
ขณะที่พวกเขาเริ่มปลดปล่อยผู้ถูกจับกุม ไอริสรู้สึกถึงความหวังที่เติบโตขึ้นในใจ เธอเข้าใจแล้วว่าการปฏิวัติที่แท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นด้วยกำลัง แต่เกิดขึ้นในจิตใจของผู้คน ในความคิดและความเชื่อที่เปลี่ยนไป
เมื่อพวกเขาก้าวออกจากโกดัง พาผู้ที่ถูกจับกุมและเจ้าหน้าที่ที่เปลี่ยนใจออกมาด้วย ไอริสมองไปที่ท้องฟ้า เห็นแสงอรุณเริ่มสาดส่อง เป็นสัญญาณของวันใหม่ที่กำลังจะมาถึง
เธอรู้ดีว่าการต่อสู้ยังไม่จบ ยังมีอีกยาวไกล แต่คืนนี้ พวกเขาได้จุดประกายแห่งการเปลี่ยนแปลง ประกายที่จะลุกลามไปทั่วเมือง และอาจจะทั่วโลก เป็นเสียงกระซิบแห่งการปฏิวัติที่เริ่มดังก้องในใจของผู้คน
บทสุดท้าย: เสียงเพรียกแห่งอิสรภาพ
แสงสีทองของดวงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องลงบนซากปรักหักพังของอาคารสำนักงานใหญ่ NeoBio ไอริสยืนอยู่ท่ามกลางเศษซากคอนกรีตและกระจกแตก มองดูภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันระหว่างความโล่งใจและความเศร้าสลด
เป็นเวลาห้าปีแล้วนับตั้งแต่คืนนั้นในโกดังเก่า คืนที่พวกเขาจุดประกายแห่งการเปลี่ยนแปลง ห้าปีแห่งการต่อสู้ การสูญเสีย และในที่สุด… ชัยชนะ
เซบาสเตียนเดินเข้ามาหา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นจากการต่อสู้ แต่ดวงตายังคงเปล่งประกายด้วยความหวัง “เราทำได้แล้ว” เขาพูด เสียงแผ่วเบา
ไอริสพยักหน้า แต่ไม่ได้ยิ้ม “ใช่ เราทำได้แล้ว แต่ด้วยราคาที่แพงมาก”
พวกเขามองไปรอบๆ เห็นผู้คนมากมายกำลังเดินสำรวจซากปรักหักพัง บางคนกำลังเก็บเศษซากเอกสาร บางคนกำลังช่วยกันขนย้ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ออกมา
“คุณคิดว่าเราทำถูกต้องไหม?” ไอริสถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความลังเล “บางครั้งฉันก็สงสัยว่า การทำลายล้างครั้งนี้… มันคุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่ได้มาหรือเปล่า”
เซบาสเตียนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ “ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของถูกหรือผิดอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเรื่องของการเลือก เราเลือกที่จะต่อสู้เพื่ออิสรภาพ เพื่อสิทธิที่จะเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง”
ไอริสพยักหน้า นึกถึงคำพูดของนักปรัชญาคนหนึ่งที่เคยอ่านเจอ “อิสรภาพไม่ใช่การไร้ซึ่งข้อจำกัด แต่เป็นความสามารถในการเลือกข้อจำกัดของตัวเอง” เธอพูดออกมาเบาๆ
เซบาสเตียนหันมามองเธอด้วยความสนใจ “นั่นเป็นมุมมองที่น่าสนใจมาก” เขาตอบ “แต่คุณคิดว่าเราได้บรรลุถึงจุดนั้นแล้วหรือยัง?”
ไอริสเงียบไปครู่หนึ่ง ครุ่นคิดกับคำถามนั้น “ฉันคิดว่าเรายังไม่ถึงจุดนั้น” เธอตอบในที่สุด “แต่อย่างน้อย เราก็ได้มอบโอกาสในการเลือกนั้นคืนให้กับทุกคนแล้ว”
พวกเขาเดินไปยังสวนเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังอาคาร ที่นั่นเต็มไปด้วยต้นไม้และพืชพรรณนานาชนิด ทั้งพันธุ์ดั้งเดิมและพันธุ์ที่ถูกดัดแปลง กำลังเติบโตอยู่เคียงข้างกัน
“ดูนั่นสิ” ไอริสชี้ไปที่ต้นทานตะวันต้นหนึ่ง มันสูงเพียงแค่เอว แต่กำลังออกดอกสีเหลืองสดใส “นั่นคือลูกหลานของเมล็ดพันธุ์ที่เราแจกจ่ายในคืนนั้น”
เซบาสเตียนยิ้ม “มันอาจจะไม่ได้สูงใหญ่เหมือนพันธุ์ที่ NeoBio สร้างขึ้น แต่มันแข็งแรงและงดงามในแบบของมันเอง”
“เหมือนกับมนุษย์เรานี่แหละ” ไอริสพูด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความคิด “เราอาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความไม่สมบูรณ์แบบนั่นแหละ ที่ทำให้เราเป็นมนุษย์”
ขณะนั้นเอง เสียงหัวเราะของเด็กๆ ก็ดังมาจากอีกฝั่งของสวน พวกเขาเห็นกลุ่มเด็กกำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน บางคนกำลังเก็บดอกไม้ บางคนกำลังไล่จับผีเสื้อ
“นั่นแหละคือสิ่งที่เราต่อสู้มาเพื่อ” เซบาสเตียนพูด “เพื่อให้พวกเขาได้เติบโตขึ้นมาในโลกที่มีทางเลือก ในโลกที่พวกเขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างแท้จริง”
ไอริสพยักหน้า รู้สึกถึงน้ำตาที่เริ่มคลอ “แต่งานของเรายังไม่จบ” เธอพูด “การทำลาย NeoBio เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เรายังต้องสร้างโลกใหม่ขึ้นมา โลกที่สมดุลระหว่างความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และความเคารพในธรรมชาติ”
“และนั่นจะเป็นงานที่ยากกว่าการต่อสู้กับ NeoBio เสียอีก” เซบาสเตียนเสริม “เพราะศัตรูของเราตอนนี้ไม่ใช่บริษัทยักษ์ใหญ่อีกต่อไป แต่เป็นธรรมชาติของมนุษย์เอง ความโลภ ความกลัว และความเห็นแก่ตัว”
ไอริสหยิบเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ออกมาจากกระเป๋า มันคือเมล็ดพันธุ์ของดอกทานตะวันพันธุ์ดั้งเดิม “แต่เราก็มีอาวุธที่ทรงพลังที่สุด” เธอพูดพลางยื่นเมล็ดพันธุ์ให้เซบาสเตียนดู “ความหวัง และความเชื่อในศักยภาพของมนุษย์”
เซบาสเตียนรับเมล็ดพันธุ์มา มองดูมันอย่างพินิจพิเคราะห์ “คุณพูดถูก ตราบใดที่ยังมีคนที่กล้าฝัน กล้าต่อสู้ และกล้าที่จะหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งการเปลี่ยนแปลง เราก็ยังมีโอกาส”
พวกเขาเดินไปยังมุมหนึ่งของสวน ที่ยังมีพื้นที่ว่างอยู่ ไอริสคุกเข่าลง ใช้มือขุดหลุมเล็กๆ ในดิน ก่อนที่เซบาสเตียนจะวางเมล็ดพันธุ์ลงไป
“เพื่ออนาคตที่เราอาจจะไม่ได้เห็น” ไอริสพูด “แต่เป็นอนาคตที่คุ้มค่ากับการต่อสู้” เซบาสเตียนเสริม
พวกเขากลบดินและรดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์ที่เพิ่งปลูก ก่อนจะลุกขึ้นยืน มองดูพื้นที่ตรงนั้นด้วยความหวัง
ขณะนั้นเอง เสียงเพลงแผ่วเบาก็ดังมาจากที่ไกลๆ เป็นเพลงที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ทำนองของมันช่างไพเราะและให้กำลังใจ
“นั่นคือ…” เซบาสเตียนพูดอย่างประหลาดใจ “เพลงใหม่” ไอริสตอบ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี “เพลงที่ไม่ได้ถูกแต่งขึ้นโดย NeoBio”
พวกเขายืนฟังเพลงนั้นด้วยกัน รู้สึกถึงความหวังที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจ เสียงเพลงนั้นเป็นเหมือนสัญญาณบอกว่า แม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบาก แต่มนุษยชาติก็ยังคงมีความสามารถในการสร้างสรรค์ ในการเยียวยา และในการเริ่มต้นใหม่
ไอริสและเซบาสเตียนมองไปยังเด็กๆ ที่กำลังเล่นอยู่ แล้วมองกลับมาที่เมล็ดพันธุ์ที่พวกเขาเพิ่งปลูก ก่อนจะสบตากัน ในดวงตาของทั้งคู่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความหวัง
“เรายังมีงานอีกมากที่ต้องทำ” ไอริสพูด “แต่อย่างน้อยเราก็ได้เริ่มต้นแล้ว” เซบาสเตียนตอบ
พวกเขาหันหลังให้กับซากปรักหักพังของ NeoBio และเดินไปพร้อมกัน มุ่งหน้าสู่เมืองที่กำลังตื่นตัวด้วยชีวิตใหม่ เสียงเพลงยังคงลอยตามลมมา ผสมผสานกับเสียงหัวเราะของเด็กๆ และเสียงนกร้อง
ในท้องฟ้าเบื้องหน้า ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่องแสงลงมายังโลกใบนี้ โลกที่กำลังเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง โลกที่เต็มไปด้วยความหวัง ความท้าทาย และความเป็นไปได้อันไม่สิ้นสุด
ไอริสและเซบาสเตียนรู้ดีว่าเส้นทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล และอาจจะเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน ด้วยความเชื่อมั่นว่า ตราบใดที่มนุษย์ยังมีเสรีภาพในการคิด ในการเลือก และฝัน โลกใบนี้ก็ยังมีความหวัง
และนั่นคือชัยชนะที่แท้จริง ชัยชนะที่ไม่ได้วัดกันด้วยการทำลายล้าง แต่วัดด้วยการสร้างสรรค์ ไม่ได้วัดด้วยการควบคุม แต่วัดด้วยการปลดปล่อย
เมื่อพวกเขาก้าวออกจากซากปรักหักพังของ NeoBio เป็นครั้งสุดท้าย ไอริสรู้สึกถึงความหวังที่เติบโตขึ้นในใจ เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้น จุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ การเดินทางที่จะนำพามนุษยชาติไปสู่อนาคตที่สดใสกว่า อิสระกว่า และเป็นมนุษย์มากกว่าที่เคย
(จบ)